
นายชาญศิลป์ กล่าวว่า โครงการหน่วยแยกอากาศที่ใช้พลังงานความเย็นจากการเปลี่ยนสถานะก๊าซ LNG เป็นความร่วมมือในการศึกษาต่อยอดนวัตกรรมระหว่างบริษัทและบีไอจี เพื่อนำพลังงานความเย็นจากการเปลี่ยนสถานะของ LNG ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งปัจจุบันพลังงานความเย็นนี้ถูกปล่อยไปกับน้ำทะเล ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในกระบวนการผลิตด้วยการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพทั้งยังช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 28,000 ตันต่อปี และลดการปล่อยน้ำเย็น ลงสู่ทะเล 2,500 ตันต่อชั่วโมง พร้อมสนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล
นายศักดิ์เฉลิม สิทธิวงศ์ ประธานกรรมการ MAP เปิดเผยว่า โครงการ ASU ที่ใช้พลังงานความเย็นจากการเปลี่ยนสถานะก๊าซ LNG เหลว ณ พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง นี้มีมูลค่าลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท มีกำลังการผลิตก๊าซอุตสาหกรรมมากถึง 450,000 ตันต่อปี ซึ่งจะเป็นหน่วยแยกอากาศแห่งแรกของประเทศไทยที่นำพลังงานความเย็นจากการเปลี่ยนสถานะ LNG มาใช้ ซึ่งจะสามารถผลิตก๊าซอุตสาหกรรม เช่น ออกซิเจน ไนโตรเจน และอาร์กอน ช่วยเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยในด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ไนโตรเจนที่ผลิตได้จากหน่วยแยกอากาศนี้ สามารถนำไปต่อยอดนวัตกรรมในการรักษาคุณภาพความสดใหม่ของผลไม้ก่อนที่จะนำไปเก็บในห้องเย็น ยืดเวลาการเก็บรักษาผลไม้ให้นานขึ้นและมีคุณภาพที่ดีขึ้น เป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร ยกระดับคุณภาพชีวิตให้เกษตรกรและมุ่งตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นมหานครผลไม้โลกต่อไป